วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ริษยา


                ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

คำว่า "ริษยา" เป็นคำที่ใช้ในภาษาไทย  ภาษาบาลีใช้คำว่า "อิสสา" คือลักษณะของอิสสาเจตสิก....อิสสาสังโยชน์เป็นไฉน  ได้แก่ การริษยา กิริยาที่ริษยา ความริษยา การเกลียดกัน กิริยาที่เกลียดกัน ความเกลียดกันในลาภสักการะ  การทำความเคารพ การนับถือ การไหว้ การบูชาของคนอื่นอันใดนี้เรียกว่า อิสสาสังโยชน์

บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองไม่เคยริษยาใครเลย  แต่ถ้าได้ฟังลักษณะของอิสสาแล้วก็พิจารณาจิตใจของตนเองจริง ๆ  พอที่สติจะระลึกได้ว่า ในขณะไหนที่เป็นความริษยา อาจจะไม่รุนแรง แต่เพียงนิดเดียวที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เห็นได้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพของธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นอิสสาเจตสิก ความอิสสาหรือริษยาจะเกิดขึ้นเมื่อมีลาภของคนอื่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิด เพราะเหตุว่า ลักษณะของความริษยานั้นเป็นการขึ้งเคียดสมบัติของผู้อื่น ไม่พอใจที่คนอื่นมีสมบัตินั้น ๆ

นี่ก็แสดงให้เห็นถึงอกุศลมีมากมายหลากหลายประเภท มีโลภะ มีความรักตน มีมานะ มีความสำคัญตนมากจนกระทั่งไม่อยากที่จะให้ผู้อื่นดีกว่าตน  นั่นก็คือลักษณะของความริษยา ซึ่งจะพิจารณาเห็นได้ว่า ขณะใดที่มีความริษยาเกิดขึ้น ขณะนั้นรู้สึกสบายใจไหม  ถ้ารู้สึกไม่สบายใจ ขณะนั้นเป็นลักษณะของโทสมูลจิต และถ้าขณะนั้นมีสมบัติของคนอื่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของอิสสา

อิสสาหรือความริษยา เป็นธรรมที่อันตรายมาก เพราะไม่สามารถแม้จะยินดีกับความสุขของคนอื่นได้ เป็นความรักตน สำคัญตนอย่างยิ่ง ซึ่งทนไม่ได้ต่อสมบัติของคนอื่น

สำหรับอิสสาเจตสิกนี้เป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมกับโทสมูลจิต  แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกครั้งที่โทสมูลจิตเกิด จะต้องมีอิสสาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอ

               
                   ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน    

                                                          ...........................................        

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

มนุษย์กับธรรม

 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ถ้ากล่าวถึงธรรม  ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริง   ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น  นี่คือสิ่งใหม่สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฟังธรรม
เพราะว่าเราเคยได้ยินเศษเล็กเศษน้อยของพระธรรม  เช่น  จริยธรรม หรือศีลธรรมเป็นต้น  แต่จริง ๆ แล้ว  ก่อนจะเข้าใจพระธรรมได้ว่า  ด้วยเหตุใดพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนาน ถึง ๔ อสงไขยแสนกัปที่จะรู้พระธรรม  เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษาอยู่ที่ไหน  และเดี๋ยวนี้มีไหม  คนยุคนี้สามารถได้รับฟังและเข้าใจได้หรือเปล่า  นี่เป็นความต่างกันของคนในยุคโน้นกับคนในยุคนี้

 ถ้าเคยไปวัดฟังพระธรรม  ก็จะรู้ว่า ในอดีตกาลสมัยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระอรหันต์มากมาย  พระอรหันต์คือใคร  ก็ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยิน และได้ยินอะไรก็ไม่รู้  แต่ถ้าได้ยินแล้วต้องการเข้าใจ  ก็ฟังพระธรรมจนกระทั่งสามารถค่อย ๆ เข้าใจคำที่ได้ยินทีละเล็กทีละน้อย  เช่น  ถ้าถามว่าพระอรหันต์คือใคร  พระอรหันต์คือ ผู้ดับกิเลสหมด ไม่มีกิเลสใด ๆ เกิดขึ้นได้เลย

เพราะฉะนั้น พระอรหันต์จึงเป็นผู้ควรเคารพอย่างสูง  เพราะว่าการดับกิเลสเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย  ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่า  เมื่อเกิดมาทุกคนก็มีกิเลส  และอยู่ไปวัน ๆ  ทุกวันก็เต็มไปด้วยกิเลส  เพราะฉะนั้น ถ้าใครสามารถดับกิเลสได้  ผู้นั้นควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง  สมัยนี้มีไหมพระอรหันต์ ?  แล้วจะรู้ได้อย่างไร ?  ใครเป็นพระอรหันต์และใครไม่เป็นพระอรหันต์ ?

ถ้าขาดความรู้  เราก็จะถูกหลอก  เพราะเหตุว่า  ถ้าใครบอกว่า  คนโน้นคนนี้เป็นพระอรหันต์  เราก็อาจจะเชื่อ  แต่ตามความเป็นจริง  แต้งเป็นความรู้ของเราเอง  จึงจะสามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามความเป็นจริง

ด้วยเหตุนี้  เราจึงมีคำว่า  มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง  เราใช้กันบ่อย ๆ
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ  มีใครเป็นที่พึ่ง ?  มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง  ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ มีพระธรรมที่ทรงแสดงแล้ว ที่ทำให้ทุกคนสามารถหมดจดจากกิเลสได้เป็นที่พึ่ง  เพราะถ้าไม่มีพระธรรม  ใครก็หมดกิเลสไม่ได้ และก็มีพระสังฆรัตน  คือ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ  ถึงพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง  ไม่ใช่ถึงผู้ที่ไม่ใช่อริยะแล้วก็เป็นที่พึ่งได้  แต่ต้องเป็นผู้สามารถเข้าใจธรรม  จนสามารถช่วยคนอื่นให้เข้าใจได้  ในฐานะของสาวกด้วย ไม่ใช่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทุกคนเคยพูดคำนี้ไหม ?  ๓ ประโยค  พุทธัง สรณัง คัจฉามิ  ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ  สังฆัง  สรณัง  คัจฉามิ  แต่ขอเป็นที่พึ่งอย่างไร  เพราะเหตุว่า แม้คำว่า "ที่พึ่ง"  ก็ไม่รู้ว่า  จะพึ่งพระรัตนตรัย  พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไร  เพราะว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว  ไม่มีอีกเลยที่จะไปเฝ้า สักการะหรือจะขอเป็นที่พึ่ง  แต่ยังพึ่งได้อยู่  เพราะเหตุว่าเป็นพระบรมศาสดาที่ทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นสามารถรู้สามารถเข้าใจได้

เพราะฉะนั้น  การที่จะพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ  พระองค์เป็นผู้มีพระปัญญสูงสุดในสากลจักรวาล  ไม่มีผู้ใดเปรียบเสมอพระองค์ได้เลย  และทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นเข้าใจได้  เพราะฉะนั้น จะพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าวันนี้  จะพึ่งอย่างไร  หรือจะไม่พึ่ง  หรือจะเพียงกล่าวว่า  "พึ่ง"  แต่ไม่รู้ว่าจะพึ่งอย่างไร

เพราะฉะนั้น  เพียงแค่คำว่า "ธรรม"  จะพึ่งธรรม  จะพึ่งอย่างไร  กำลังจะพึ่งพระธรรมก็เมื่อได้ฟังและเข้าใจ  จึงจะพึ่งได้  ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีหนทางจะพึ่งได้เลย


                     
                            ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์


                                                             .....................................................